- ช่วยให้ผู้สอบบัญชีสามารถรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีได้อย่างเพียงพอ และเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์
- ช่วยให้ค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบเป็นไปอย่างเหมาะสม
- ช่วยให้เกิดความรวมมือกับลูกค้าและป้องกันการเข้าใจผิด โดยทำความตกลงกำหนดการต่างๆล่วงหน้า และยืนยันกำหนดการดังกล่าว
- ช่วยให้ผู้สอบบัญชีแน่ใจได้ว่า ได้มีการพิจารณาเรื่องสำคัญอย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถระบุและจัดการกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
- ช่วยให้มีการมอบหมายงานแก่ผู้ช่วยอย่างเหมาะสม
- ช่วยให้มีการประสานงานกับผู้สอบบัญชีอื่นและผู้เชี่ยวชาญ
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552
การวางแผนงานตรวจสอบขั้นต้น
ขั้นตอนที่ 1 การพิจารณารับงานสอบบัญชี
การพิจารณาเลือกรับงานการสอบบัญชีมีความสำคัญต่อผู้สอบบัญชีมาก เนื่องจากการรับงานตรวจสอบกิจการที่มีความเสี่ยงสูง หรือกิจการที่ผู้บริหารมีเจตนาไม่สุจริต ย่อมทำให้ผู้สอบบัญชีมีความยากลำบากในการตรวจสอบ และอาจตรวจไม่พบข้อผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้สอบบัญชีถูกฟ้องร้องจากผู้ใช้งบการเงินหรือาจทำให้หน่วยงานกำกับดูแลมีความสงสัยในการปฏิบัติงานสอบบัญชีได้
การรับงานสอบบัญชี จำแนกออกได้ 2 กรณี ดังนี้
1. การรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายใหม่
1.1 ลูกค้าใหม่ที่จัดตั้งกิจการใหม่
ผู้สอบบัญชีต้องรวบรวมข้อมูลและประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นก่อนที่จะรับงานสอบบัญชี
สำหรับลูกค้ารายใหม่ผลจากการรวบรวมข้อมูลและประเมินความเสี่ยงดังกล่าวทำให้ผู้สอบบัญชีอาจปฏิเสธที่จะรับงานตรวจสอบลูกค้ารายนั้น เนื่องจากการรับงานสอบบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงมีผลให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานการสอบบัญชี หรือปฏิบัติงานผิดมรรยาท หรือจรรยาบรรณของผู้สอบบัญชีซึ่งมีผลทำให้ผู้สอบบัญชีเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้
ผู้สอบบัญชีควรรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นไว้เพื่อประเมินความเสี่ยงเช่น
- ประเภทธุรกิจของลูกค้า
- ผู้เจ้าของและผู้บริหารของกิจการที่จะตรวจสอบ
- ฐานะการเงินของลูกค้า
- ฐานะทางสังคมของลูกค้า
- กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของลูกค้า
- ลักษณะของรายงานที่ต้องนำส่งหน่วยงานกำกับดูแล เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
1.2 ลูกค้าใหม่ที่งบการเงินของลูกค้าตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีอื่น
ผู้สอบบัญชีคนใหม่อาจต้องการทราบว่ามีเหตุผลทางจรรยาบรรณ หรือมารยาทของวิชาชีพ
ประการใดหรือไม่ที่ผู้สอบบัญชีใหม่ควรนำมาพิจารณาในการรับงานสอบบัญชี เช่น ความขัดแย้งกันของผู้สอบบัญชีคนเดิมกับผู้บริหารของกิจการในเรื่องการใช้หลักการบัญชี หรือการถูกจำกัดขอบเขตการตรวจสอบ เป็นต้น
ในทางปฏิบัติ ผู้สอบบัญชีที่กำลังพิจารณางานใหม่ต้องมีหนังสือไปยังผู้สอบบัญชีเดิม โดยมีข้อความแจ้งให้ทราบว่าตนได้รับการทาบทามให้เป็นผู้สอบบัญชีของกิจการที่ผู้สอบบัญชีที่ผู้สอบบัญชีเดิมเคยตรวจสอบ และสอบถามผู้สอบบัญชีเดิมว่า มีเหตุผลทางจรรยาบรรณหรือมารยาทหรือไม่ ที่ควรนำมาพิจารณาในการรับงานลูกค้ารายนี้ ถ้าผู้สอบบัญชีเดิมตอบกลับว่ามีเหตุผลทางจรรยาบรรณหรือมรรยาท ผู้สอบบัญชีที่กำลังพิจารณางานใหม่ต้องชี้แจงให้กิจการผู้ทาบทามทราบถึงความจำเป็นที่จะต้องให้ผู้สอบบัญชีเดิมแจ้งให้ตนทราบถึง รายละเอียดเหตุผลทางจรรยาบรรณหรือมรรยาทของวิชาชีพและข้อขัดแย่งเกี่ยงกับการใช้หลักการบัญชีและวิธีการตรวจสอบโดยหนังสือไปยังผู้สอบบัญชีเดิม ในกรณีที่ถูกปฏิเสธจากกิจการที่ทาบทามหรือข้อมูลที่จะของทราบจากผู้สอบบัญชีเดิมถูกจำกัด ผู้สอบบัญชีพิจารณางานใหม่ต้องขอทราบเหตุผลจากกิจการนั้นแล้วนำมาพิจารณาว่าควรรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายนี้หรือไม่
2.การรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายเดิม[Continuing Client] ผู้สอบบัญชีจะต้องพิจารณาและประเมินความเสี่ยงจากลูกค้ารายเดิมว่าจะรับงานสอบบัญชีต่อไปหรือไม่ ผู้สอบบัญชีอาจตอบปฎิเสธลูกค้ารายเดิมด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้
2.1 การมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการถูกจำกัดขอบเขตในการตรวจสอบ และประเภทความเห็นในรายงานผู้สอบบัญชี
2.2 ลูกค้าไม่จ่ายค่าสอบบัญชี
2.3 กิจการมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร ซึ่งผู้สอบบัญชีมีการประเมินว่าผู้บริหารชุดใหม่มีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต
ในการตอบรับงานสอบบัญชี ผู้สอบควรส่งหนังสื่อตอบรับงานสอบบัญชี[Engagement Letter] 2ฉบับเพื่อยืนยันและให้กอจการยอมรับเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้
- การแต่งตั้งผู้สอบบัญชี
- วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบและขอบเขตของการตรวจสอบ
- ความรับผิดชอบของผู้บริหารต่องบการเงิน
- ความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชีต่อลูกค้า
- รูปแบบของรายงาน
- ค่าธรรมเนียมการสอบบัญชี
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีควรมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่จะตรวจสอบ
ประโยชน์ของข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่จะตรวจสอบ
- เพื่อให้เข้าใจในระบบบัญชีและวิธีการปฎิบัติทางการสอบบัญชีของกิจการที่จะตรวจสอบ
- เพื่อช่วยในการระบุปัญหาและการประเมินความเสี่ยงสืบเนื่องของกิจการที่ตรวจสอบ ความเสี่ยงสืบเนื่อง[Inherent Risk]หมายถึง โอกาสที่ยอดคงเหลือของบัญชีหรือประเภทของรายการที่ขัดต่อข้อเท็จจริง
- การได้มาซึ่งความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ
แหล่งความรู้เกี่ยวกับธุรกิจและกิจการที่ตรวจสอบ
- ประสบการณ์ตรวจสอบของปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับกิจการและธุรกิจประเภทนั้น
- การปรึกษาหารือกับบุคลากรของกิจการ เช่น กรรมการ เจ้าหน้าที่ระดับสูง เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ
- การปรึกษาหารือกับผู้สอบบัญชีอื่น ที่ปรึกษากฎหมาย และที่ปรึกษาด้านอื่นๆ
- การปรึกษาหารือกับผู้ที่มีความรู้นอกกิจการ เช่น นักเศรษฐศาสตร์และผู้ออกกฎระเบียบเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนั้น
- สิ่งตีพิมพ์ที่เกี่ยวกับธุรกิจประเภทนั้น
- การตรวจเยี่ยมสถานประกอบการและโรงงาน
- เอกสารที่กิจการจัดทำเช่น รายงานการประชุม เอกสารที่ส่งให้ผู้ถือหุ้น
ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบเบื้องต้น
โดยการเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินและข้อมูลอื่นที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงินว่าเป็นไปตามที่คาดหมายหรือไม่ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้สอบบัญชีสามารถวางแผนและใช้วิธีการตรวจสอบเพื่อให้ค้นพบการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้
ขั้นตอนที่ 4 การกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ [Materiality]
โดยความมีสาระสำคัญขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของรายงานทางการบัญชีที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้ข้อมูล
การพิจารณาเลือกรับงานการสอบบัญชีมีความสำคัญต่อผู้สอบบัญชีมาก เนื่องจากการรับงานตรวจสอบกิจการที่มีความเสี่ยงสูง หรือกิจการที่ผู้บริหารมีเจตนาไม่สุจริต ย่อมทำให้ผู้สอบบัญชีมีความยากลำบากในการตรวจสอบ และอาจตรวจไม่พบข้อผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้สอบบัญชีถูกฟ้องร้องจากผู้ใช้งบการเงินหรือาจทำให้หน่วยงานกำกับดูแลมีความสงสัยในการปฏิบัติงานสอบบัญชีได้
การรับงานสอบบัญชี จำแนกออกได้ 2 กรณี ดังนี้
1. การรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายใหม่
1.1 ลูกค้าใหม่ที่จัดตั้งกิจการใหม่
ผู้สอบบัญชีต้องรวบรวมข้อมูลและประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นก่อนที่จะรับงานสอบบัญชี
สำหรับลูกค้ารายใหม่ผลจากการรวบรวมข้อมูลและประเมินความเสี่ยงดังกล่าวทำให้ผู้สอบบัญชีอาจปฏิเสธที่จะรับงานตรวจสอบลูกค้ารายนั้น เนื่องจากการรับงานสอบบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงมีผลให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานการสอบบัญชี หรือปฏิบัติงานผิดมรรยาท หรือจรรยาบรรณของผู้สอบบัญชีซึ่งมีผลทำให้ผู้สอบบัญชีเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้
ผู้สอบบัญชีควรรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นไว้เพื่อประเมินความเสี่ยงเช่น
- ประเภทธุรกิจของลูกค้า
- ผู้เจ้าของและผู้บริหารของกิจการที่จะตรวจสอบ
- ฐานะการเงินของลูกค้า
- ฐานะทางสังคมของลูกค้า
- กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของลูกค้า
- ลักษณะของรายงานที่ต้องนำส่งหน่วยงานกำกับดูแล เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
1.2 ลูกค้าใหม่ที่งบการเงินของลูกค้าตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีอื่น
ผู้สอบบัญชีคนใหม่อาจต้องการทราบว่ามีเหตุผลทางจรรยาบรรณ หรือมารยาทของวิชาชีพ
ประการใดหรือไม่ที่ผู้สอบบัญชีใหม่ควรนำมาพิจารณาในการรับงานสอบบัญชี เช่น ความขัดแย้งกันของผู้สอบบัญชีคนเดิมกับผู้บริหารของกิจการในเรื่องการใช้หลักการบัญชี หรือการถูกจำกัดขอบเขตการตรวจสอบ เป็นต้น
ในทางปฏิบัติ ผู้สอบบัญชีที่กำลังพิจารณางานใหม่ต้องมีหนังสือไปยังผู้สอบบัญชีเดิม โดยมีข้อความแจ้งให้ทราบว่าตนได้รับการทาบทามให้เป็นผู้สอบบัญชีของกิจการที่ผู้สอบบัญชีที่ผู้สอบบัญชีเดิมเคยตรวจสอบ และสอบถามผู้สอบบัญชีเดิมว่า มีเหตุผลทางจรรยาบรรณหรือมารยาทหรือไม่ ที่ควรนำมาพิจารณาในการรับงานลูกค้ารายนี้ ถ้าผู้สอบบัญชีเดิมตอบกลับว่ามีเหตุผลทางจรรยาบรรณหรือมรรยาท ผู้สอบบัญชีที่กำลังพิจารณางานใหม่ต้องชี้แจงให้กิจการผู้ทาบทามทราบถึงความจำเป็นที่จะต้องให้ผู้สอบบัญชีเดิมแจ้งให้ตนทราบถึง รายละเอียดเหตุผลทางจรรยาบรรณหรือมรรยาทของวิชาชีพและข้อขัดแย่งเกี่ยงกับการใช้หลักการบัญชีและวิธีการตรวจสอบโดยหนังสือไปยังผู้สอบบัญชีเดิม ในกรณีที่ถูกปฏิเสธจากกิจการที่ทาบทามหรือข้อมูลที่จะของทราบจากผู้สอบบัญชีเดิมถูกจำกัด ผู้สอบบัญชีพิจารณางานใหม่ต้องขอทราบเหตุผลจากกิจการนั้นแล้วนำมาพิจารณาว่าควรรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายนี้หรือไม่
2.การรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายเดิม[Continuing Client] ผู้สอบบัญชีจะต้องพิจารณาและประเมินความเสี่ยงจากลูกค้ารายเดิมว่าจะรับงานสอบบัญชีต่อไปหรือไม่ ผู้สอบบัญชีอาจตอบปฎิเสธลูกค้ารายเดิมด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้
2.1 การมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการถูกจำกัดขอบเขตในการตรวจสอบ และประเภทความเห็นในรายงานผู้สอบบัญชี
2.2 ลูกค้าไม่จ่ายค่าสอบบัญชี
2.3 กิจการมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร ซึ่งผู้สอบบัญชีมีการประเมินว่าผู้บริหารชุดใหม่มีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต
ในการตอบรับงานสอบบัญชี ผู้สอบควรส่งหนังสื่อตอบรับงานสอบบัญชี[Engagement Letter] 2ฉบับเพื่อยืนยันและให้กอจการยอมรับเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้
- การแต่งตั้งผู้สอบบัญชี
- วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบและขอบเขตของการตรวจสอบ
- ความรับผิดชอบของผู้บริหารต่องบการเงิน
- ความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชีต่อลูกค้า
- รูปแบบของรายงาน
- ค่าธรรมเนียมการสอบบัญชี
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีควรมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่จะตรวจสอบ
ประโยชน์ของข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่จะตรวจสอบ
- เพื่อให้เข้าใจในระบบบัญชีและวิธีการปฎิบัติทางการสอบบัญชีของกิจการที่จะตรวจสอบ
- เพื่อช่วยในการระบุปัญหาและการประเมินความเสี่ยงสืบเนื่องของกิจการที่ตรวจสอบ ความเสี่ยงสืบเนื่อง[Inherent Risk]หมายถึง โอกาสที่ยอดคงเหลือของบัญชีหรือประเภทของรายการที่ขัดต่อข้อเท็จจริง
- การได้มาซึ่งความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ
แหล่งความรู้เกี่ยวกับธุรกิจและกิจการที่ตรวจสอบ
- ประสบการณ์ตรวจสอบของปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับกิจการและธุรกิจประเภทนั้น
- การปรึกษาหารือกับบุคลากรของกิจการ เช่น กรรมการ เจ้าหน้าที่ระดับสูง เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ
- การปรึกษาหารือกับผู้สอบบัญชีอื่น ที่ปรึกษากฎหมาย และที่ปรึกษาด้านอื่นๆ
- การปรึกษาหารือกับผู้ที่มีความรู้นอกกิจการ เช่น นักเศรษฐศาสตร์และผู้ออกกฎระเบียบเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนั้น
- สิ่งตีพิมพ์ที่เกี่ยวกับธุรกิจประเภทนั้น
- การตรวจเยี่ยมสถานประกอบการและโรงงาน
- เอกสารที่กิจการจัดทำเช่น รายงานการประชุม เอกสารที่ส่งให้ผู้ถือหุ้น
ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบเบื้องต้น
โดยการเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินและข้อมูลอื่นที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงินว่าเป็นไปตามที่คาดหมายหรือไม่ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้สอบบัญชีสามารถวางแผนและใช้วิธีการตรวจสอบเพื่อให้ค้นพบการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้
ขั้นตอนที่ 4 การกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ [Materiality]
โดยความมีสาระสำคัญขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของรายงานทางการบัญชีที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้ข้อมูล
ขั้นตอนการวางแผนการสอบบัญชี
ซึ่งในขั้นตอนการวางแผนงานสอบบัญชีทั้ง 7 ขั้นตอนนี้จะต้องมีทั้ง 3 ประการที่กล่าวมาขั้นต้นนั้นนั้นก็คือลักษณะ ขอบเขต ระยะเวลาในตรวจสอบบัญชีปรากฏขึ้นในขั้นตอนของวางแผนงานสอบบัญชีดังนี้
ขั้นตอนที่ 1. การพิจารณางานสอบบัญชี
ขั้นตอนที่ 2. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ
ขั้นตอนที่ 3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น
ขั้นตอนที่ 4. การกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ
ขั้นตอนที่ 5. การประเมินความเสี่ยงในการสอบบัญชีที่ยอมรับได้และเสี่ยงสืบเนื่อง
ขั้นตอนที่ 6. การทำความเข้าใจในระบบการควบคุมภายใน และการประเมินความเสี่ยงจากการควบคุม
ขั้นตอนที่ 7. การพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชี
ขั้นตอนที่ 1. การพิจารณางานสอบบัญชี
ขั้นตอนที่ 2. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ
ขั้นตอนที่ 3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น
ขั้นตอนที่ 4. การกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ
ขั้นตอนที่ 5. การประเมินความเสี่ยงในการสอบบัญชีที่ยอมรับได้และเสี่ยงสืบเนื่อง
ขั้นตอนที่ 6. การทำความเข้าใจในระบบการควบคุมภายใน และการประเมินความเสี่ยงจากการควบคุม
ขั้นตอนที่ 7. การพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชี
การวางแผนงานสอบบัญชี
การที่วางแผนงานสอบบัญชี เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การตรวจสอบ ได้อย่างประสิทธิ์ภาพและประสิทธิ์ผลด้วยการพัฒนากลยุทธ์ ซึ่งจะมีการกำหนดขอบเขตการปฏิบัติงานหรือลักษณะและเวลาที่จะใช้ในการตรวจสอบ เพื่อรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีอย่างเพียงพอและเหมาะสม
การวางแผนงานสอบบัญชี หมายถึง การกำหนดขอบเขตการปฎิบัติงาน วิธีการหรือลักษณะและเวลาที่จะใช้ในการตรวจสอบ เพื่อรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีอย่างเพียงพอและเหมาะสมเพื่อให้การตรวจสอบ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.วัตถุประสงค์
เพื่อ ให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินว่างบการเงินนั้นได้จัดทำใน ส่วนสาระสำคัญเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือไม่
2.แผนงานสอบบัญชี
1. ลักษณะของการตรวจสอบ (Nature of Audit Test)
ว่าจะใช้วิธีการตรวจสอบแบบใดการทดสอบและการควบคุม หรือ การตรวจสอบเนื้อหาสาระ และจะใช้วิธีใด เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชี เช่น การขอคำยืนยัน การสังเกตการณ์ การตรวจสอบเอกสาร และการปฏิบัติซ้ำ
2. ขอบเขตของการตรวจสอบ (Extene of Audit Test)
คือการเรียกตัวอย่างว่าจะเลือกขึ้นทกสอบมากน้อยเพียงใด ขนาดของตัวอย่างและเลือกรายการใดมาตรวจสอบ
3. ระยะเวลาของการตรวจ (Timing of Audit Test)
ว่า จะเข้าตรวจสอบระยะเวลาใดระหว่างปีด้วยหรือจะเข้าตรวจสอบหลังวันสิ้นงวดบัญชี แต่เพียงอย่างเดียวนั้นก็คือถ้าเข้าตรวจระหว่างปีหรือก่อนสิ้นงวดก็จะดูการ ควบคุมภายในว่าเป็นไปตามระเบียบหรือไม่ถ้าเป็นไปตามระเบียบก็จะมีความเสี่ยง สุดแต่ถ้าเข้าตรวจสอบตอนสิ้นงวดบัญชีด้วยก็จะดูจำนวนเงินเป็นสาระสำคัญ
ระยะเวลาของการตรวจสอบ[Timing of Audit Test] ระยะเวลาของการตรวจสอบมีทั้งหมด 2 ระยะเวลาคือการเข้ามาตรวจสอบระหว่างปี [Interim Visit] หรือเข้ามาตรวจสอบหลังสิ้นงวดบัญชี [Final Visit] แต่เพียงอย่างเดียวและระยะเวลา(จำนวนชั่วโมงการทำงาน)ที่จะใช้ในแต่ละกิจการ
ตัวอย่างคือ ถ้าเข้าตรวจระหว่างปีนั้นก็คือก่อนวันที่ 31 ธ.ค.ของปีนั้นแต่ถ้าเข้าตรวจในวันสิ้นงวดบัญชีนั้นก็คือ วันที่ 31 ธ.ค.ของปีนั้น
ในการกำหนดลักษณะ ขอบเขตและระยะเวลาของการตรวจสอบจะอยู่ในช่วงของการวางแผนงานสอบบัญชีซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
ความเสี่ยงในการทำงาน ความซับซ้อนของธุรกิจและความมีสาระสำคัญในการสอบบัญชี
ระบบการควบคุมภายในของลูกค้า
ความรู้และประสบการณ์ของผู้สอบบัญชี
ประสิทธิภาพของการใช้วิธีการตรวจสอบประเภทต่างๆ
3.นำไปปฏิบัติ
การวางแผนงานสอบบัญชี หมายถึง การกำหนดขอบเขตการปฎิบัติงาน วิธีการหรือลักษณะและเวลาที่จะใช้ในการตรวจสอบ เพื่อรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีอย่างเพียงพอและเหมาะสมเพื่อให้การตรวจสอบ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.วัตถุประสงค์
เพื่อ ให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินว่างบการเงินนั้นได้จัดทำใน ส่วนสาระสำคัญเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือไม่
2.แผนงานสอบบัญชี
1. ลักษณะของการตรวจสอบ (Nature of Audit Test)
ว่าจะใช้วิธีการตรวจสอบแบบใดการทดสอบและการควบคุม หรือ การตรวจสอบเนื้อหาสาระ และจะใช้วิธีใด เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชี เช่น การขอคำยืนยัน การสังเกตการณ์ การตรวจสอบเอกสาร และการปฏิบัติซ้ำ
2. ขอบเขตของการตรวจสอบ (Extene of Audit Test)
คือการเรียกตัวอย่างว่าจะเลือกขึ้นทกสอบมากน้อยเพียงใด ขนาดของตัวอย่างและเลือกรายการใดมาตรวจสอบ
3. ระยะเวลาของการตรวจ (Timing of Audit Test)
ว่า จะเข้าตรวจสอบระยะเวลาใดระหว่างปีด้วยหรือจะเข้าตรวจสอบหลังวันสิ้นงวดบัญชี แต่เพียงอย่างเดียวนั้นก็คือถ้าเข้าตรวจระหว่างปีหรือก่อนสิ้นงวดก็จะดูการ ควบคุมภายในว่าเป็นไปตามระเบียบหรือไม่ถ้าเป็นไปตามระเบียบก็จะมีความเสี่ยง สุดแต่ถ้าเข้าตรวจสอบตอนสิ้นงวดบัญชีด้วยก็จะดูจำนวนเงินเป็นสาระสำคัญ
ระยะเวลาของการตรวจสอบ[Timing of Audit Test] ระยะเวลาของการตรวจสอบมีทั้งหมด 2 ระยะเวลาคือการเข้ามาตรวจสอบระหว่างปี [Interim Visit] หรือเข้ามาตรวจสอบหลังสิ้นงวดบัญชี [Final Visit] แต่เพียงอย่างเดียวและระยะเวลา(จำนวนชั่วโมงการทำงาน)ที่จะใช้ในแต่ละกิจการ
ตัวอย่างคือ ถ้าเข้าตรวจระหว่างปีนั้นก็คือก่อนวันที่ 31 ธ.ค.ของปีนั้นแต่ถ้าเข้าตรวจในวันสิ้นงวดบัญชีนั้นก็คือ วันที่ 31 ธ.ค.ของปีนั้น
ในการกำหนดลักษณะ ขอบเขตและระยะเวลาของการตรวจสอบจะอยู่ในช่วงของการวางแผนงานสอบบัญชีซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
ความเสี่ยงในการทำงาน ความซับซ้อนของธุรกิจและความมีสาระสำคัญในการสอบบัญชี
ระบบการควบคุมภายในของลูกค้า
ความรู้และประสบการณ์ของผู้สอบบัญชี
ประสิทธิภาพของการใช้วิธีการตรวจสอบประเภทต่างๆ
3.นำไปปฏิบัติ
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ข้อจำกัด
- ข้อจำกัดของระบบบัญชีและระบบการควบคุมภายในของกิจการ
- การใช้ดุลยพินิจของผู้สอบบัญชีในการเลือกวิธีการตรวจสอบ
- การใช้ดุลยพินิจของผู้สอบบัญชีในการพิจารณาความเชื่อถือได้ของหลักฐาน
- การใช้ดุลยพินิจในการสรุปผลการตรวจสอบจากหลักฐานที่รวบรวมได้
สรุป
- สุ่มรายการ
- ดุลยพินิจของผู้สอบบัญชีแต่ละคน
- ความเสี่ยงให้เป็น 0 ได้
ผู้เกี่ยวข้องในการสอบบัญชี
1. ผู้ตรวจสอบ Auditor มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชี
2. ผู้จัดทำ คือ ผู้บริหาร Management จัดทำบัญชีตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
- เกิดขึ้นจริง (งบกำไรขาดทุน)/มีอยู่จริง (งบดุล)
- ข้อมูลต้องครบถ้วน
- สินทรัพย์และหนี้สิน ต้องเป็นสิทธิ/ภาระผูกพันของกิจการ
- ตีราคา (สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น) และวัดมูลค่า (รายได้และค่าใช้จ่าย) อย่างถูกต้อง
- แสดงรายการโดยจัดเป็นหมวดหมู่และเปิดเผยข้อมูล
3. ผู้ใช้งบการเงิน User ใช้ในการประกอบการตัดสินใจ
2. ผู้จัดทำ คือ ผู้บริหาร Management จัดทำบัญชีตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
- เกิดขึ้นจริง (งบกำไรขาดทุน)/มีอยู่จริง (งบดุล)
- ข้อมูลต้องครบถ้วน
- สินทรัพย์และหนี้สิน ต้องเป็นสิทธิ/ภาระผูกพันของกิจการ
- ตีราคา (สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น) และวัดมูลค่า (รายได้และค่าใช้จ่าย) อย่างถูกต้อง
- แสดงรายการโดยจัดเป็นหมวดหมู่และเปิดเผยข้อมูล
3. ผู้ใช้งบการเงิน User ใช้ในการประกอบการตัดสินใจ
คุณสมบัติผู้สอบบัญชี
- ความซื่อสัตย์และศักดิ์ศรีของวิชาชีพ
- มนุษยสัมพันธ์และการเป็นผู้นำ
- การวิเคราะห์ข้อมูลและการสอบสวนข้อเท็จจริง
- การฝึกอบรม
- การเขียนรายงาน
- ภาษีอากร
- กฎหมายธุรกิจ
- เศรษฐศาสตร์และการค้าระหว่างประเทศ
- การจัดวางระบบงานและการประเมินผล
- ระบบข้อมูลเพื่อการบริหารงาน
- ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป
สรุป
- Ethics = การมีจริยธรรม
- Standard = มีมาตรฐาน
- Skepticism = ความสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
วัตถุประสงค์
- เพื่อให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินว่างบการเงินนั้นได้จัดทำในส่วนสาระสำคัญเป็นไปตามแม่บทการบัญชีในการรายงานทางการเงินหรือไม่
- เพื่อที่จะให้ผู้สอบบัญชีได้มาซึ่งหลักฐานประกอบรายการที่ปรากฎในงบการเงิน
- เพื่อให้ได้ผลสรุปที่อาจใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับงบการเงินที่ตรวจสอบว่าถูกต้องตามที่ควรมีในสาระสำคัญและเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป GAAP หรือไม่
การสอบบัญชี Auditing
การสอบบัญชี (Auditing) เป็นกระบวนการอย่างมีระบบเพื่อทำการรวบรวมและประเมินหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและรายงานผลให้ผู้ใช้งบการเงินทราบ
การสอบบัญชี (Auditing) การรวบรวมหลักฐานที่มีในกิจการเพื่อมาเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์มาตราฐานการบัญชีที่กำหนดเพื่อแสดงรายงานให้กับผู้ใช้งบการเงิน
สรุป
1.รวบรวมหลักฐาน
2.เปรียบเทียบกับมาตรฐานการบัญชี
3.แสดงรายงานกับผู้ใช้
การสอบบัญชี (Auditing) การรวบรวมหลักฐานที่มีในกิจการเพื่อมาเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์มาตราฐานการบัญชีที่กำหนดเพื่อแสดงรายงานให้กับผู้ใช้งบการเงิน
สรุป
1.รวบรวมหลักฐาน
2.เปรียบเทียบกับมาตรฐานการบัญชี
3.แสดงรายงานกับผู้ใช้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)